สบายดี...ครูรถไฟ แต่ไม่ได้ไปแล้วนะคะ

สบายดี...ครูรถไฟ  แต่ไม่ได้ไปแล้วนะคะ
ฟ้าหลังฝน...คนเป็นครูรถไฟ

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สูตรแห่งความสุข

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน     
  พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
  ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
        ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
 เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
       และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้,
 ไม่ทำก็ได้,
  เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง,  ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง

                  สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
   ๑.   ดื่มน้ำให้มาก
   ๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
          ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
       และตกเย็นแล้ว ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
   ๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
   ๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือรือร้นและ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
   ๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
    ๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
   ๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
   ๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
   ๙.   นอนวันละ 7 ชั่วโมง
   ๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดินก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
   ๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
       นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
   ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
  ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผลัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

        สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ค่ะ
    ๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณ
อิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
     ๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
    ๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
    ๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
    ๕.  อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
    ๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
    ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
    ๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
    ๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
    ๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
    ๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
    ๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
    ๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
    ๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
       แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
   ๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
   ๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
   ๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
   ๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
   ๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
   ๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก  หน่อย
    ๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณ
ต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
    และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้,ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
   ๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
   ๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...  เก็บไว้ทำไม?
   ๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
   ๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
   ๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
   ๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
   ๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า  หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
   ๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้อำนวยการ ครูจิราพร ครูมยุรี ได้รับเครื่องราชฯ

ผอ.รังสรรค์ รับเครื่องราชฯ  ท.ช.  ครูจิราพรและครูมยุรีรับเครื่องราชฯ  ท.ม.  30  พ.ย.2553

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฉลาดเลือก (กิน)

ฉลาดกินเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ สสส. และ วิชาการดอทคอมwww.thaihealth.or.th




            ชีวิตประจำวันที่ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ นอกจากจะทำให้หนุ่มๆหมดสิทธิ์รู้จักอาหารมื้อเช้า หรือรับประทานอาหารได้ไม่ครบทั้ง 5 หมู่เพราะต้องฝากท้องไว้กับอาหารในร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นอาหารที่ผ่านการปรุงและแช่แข็ง ที่แทบจะไม่มีประโยชน์ของสารอาหารต่างๆหลงเหลืออยู่แล้ว การรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยสร้างสมดุลที่ดี ที่สุดให้แก่ร่างกาย สร้างภูมิต้านทานโรคระบบย่อยอาหาร รวมถึงการควบคุมน้ำหนัก ทำผิวพรรณสดใสและช่วยชะลอวัยได้อีกด้วย


            สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่พลาดอาหารเช้าเป็นประจำอาจารย์นิพันธ์พงศ์ พานิช กรรมการผู้จัดการ ศูนย์ความงามโอเรียนทอล บิวตี้ แนะนำเกี่ยวกับอาหารที่ควรเลือกรับประทานให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดต่างๆ ดังนี้

           
เลือดกรุ๊ปโอ หนุ่มสาวเลือดกรุ๊ปโอจะมีระบบย่อยเนื้อแดงที่ดีมาก เพราะมีความเป็นกรดสูง ทำให้ย่อยอาหารได้เร็วและดูดซึมดี และสามารถให้ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี เช่น เนื้อ ตับ เซี่ยงจี๊ ไข่ 5 ฟอง/อาทิตย์ ผลไม้ ผักใบเขียว และถั่ว ซึ่งเป็นชนิดที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอ

            คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้าดังนั้นจึงต้องเสริมสร้างวิตามินเคให้ เลือดกรุ๊ปนี้ด้วยการรับประทานตับ ไข่แดง คะน้า สปินิช ผัก Swiss Chard และควรหันมารับประทานแป้งสเปลต์แทนแป้งสาลี ผลไม้ที่รับประทานกับเลือดกรุ๊ปโอได้จะมีไม่กี่ชนิด เช่น พลับ พรุน และมะเดื่อ ผลไม้จำพวกนี้จะช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ น้ำผลไม้ที่ดี คือ น้ำสับปะรด จะช่วยอุ้มน้ำของเซลในร่างกาย หรือน้ำแบล็กเชอร์รี จัดว่าเป็นน้ำที่ดีกับเลือดกรุ๊ปโอมาก

           
เลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปนี้จะเป็นกรุ๊ปที่มีความแตกต่างจากกรุ๊ปโอโดยสิ้นเชิง เพราะประชากรกรุ๊ปเอ นั้นจัดว่าเป็นพวกมังสวิรัติ ซึ่งมาจากระบบย่อยเป็นเหตุ คนเลือดกรุ๊ปเอ จึงควรหลีกเลี่ยงไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง ถ้าต้องการรับประทานเนื้อก็ให้เลือกที่จะรับประทานเนื้อไก่แทน เพราะไม่มัน ส่วนในผักและผลไม้จะได้วิตามินซีจากบร็อกโคลี ผลไม้พวกเบอร์รี เกรปฟรุต หรือส้มโอสับปะรด เชอร์รี มะนาว และฝรั่ง

            นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินอีสูง เพื่อป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง วิตามินอีจะมีอยู่ในน้ำมันพืช ธัญพืช ถั่งลิสง และผักใบเขียว รวมถึงควรรับประทานอาหารเพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันด้วย ซึ่งอาหารพวกนี้จะเป็นอาหารที่มีวิตามินบีมากๆ เช่น ธัญพืชขัดสี ปลาและไข่ คนเลือดกรุ๊ปเอ ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 เวลา เน้นไปที่ Alkaline fruit เช่นแบรี่และผลพลัม (ผลไม้ที่มีความเป็นกลางของกรด) จะช่วยความเป็นกลางในการสร้างกรดในกล้ามเนื้อ ควรเลี่ยงแตงโม แคนตาลูป และผลไม้เมืองร้อน เช่นมะม่วง มะละกอ กล้วย เพราะทำให้อาหารไม่ย่อย สับปะรดส้มโอ มะนาวจะช่วยย่อยดีมาก รวมถึงมะนาวยังช่วยละลายเสมหะในระบบของเลือดกรุ๊ปเอ ดังนั้นทุกเช้าควรดื่มน้ำอุ่นที่ผสมมะนาวครึ่งลูก

            
เลือดกรุ๊ปบี คนเลือดกรุ๊ปนี้จัดอยู่ในพวกสมดุล เพราะเป็นเลือดเพียงกรุ๊ปเดียวที่สามารถรับประทานอาหารนม เนย ไข่ได้อย่างเต็มที่ คนเลือดกรุ๊ปบี ควรจะรับประทานปลาน้ำลึก เช่นปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว เช่น ปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว คนเลือดกรุ๊ปบีสามารถเลือกรับประทานผักได้เกือบทั้งหมด เว้นอยู่ไม่กี่ชนิด เช่น มะเขือเทศ ข้าวโพด

            เลือดกรุ๊ปบี มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับไวรัสและภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรรับประทานผักใบเขียวมากๆ เพราะมีแมกนีเซียมซึ่งช่วยป้องกันโรคผื่นคันในเด็ก ส่วนผลไม้ ก็สามารถรับประทานได้แทบทุกชนิด เพราะมีระบบย่อยที่สมดุลมีเพียงลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ที่ควรเลี่ยง คนเลือดกรุ๊ปบีควรรับประทานผลไม้ที่มีผลต่อเลือด 2-3 ครั้งต่อวัน จะให้ผลดีในการรักษาโรคและลดความเจ็บป่วยด้วย

            
เลือดกรุ๊ปเอบี การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพดีเยี่ยมของ เลือดกรุ๊ปนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนเพราะเป็นส่วนผสมของทั้งกรุ๊ปเลือดเอ และบี อาหารที่ดีต่อกรุ๊ปเอ และบี ก็ดีต่อกรุ๊ปเอบีด้วยแต่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามอย่างจริงจังอาหาร มังสวิรัติจะให้ผลดีต่อร่างกาย ผลิตภัณฑ์นมและไข่รับประทานได้แต่ไม่มาก โปรตีนที่เหมาะสมจะได้จากอาหารทะเลเต้าหู้ เนื้อแดง แกะ กวาง และกระต่าย ซึ่งควรรับประทานครั้งละน้อยๆ จึงจะย่อยได้ดี เพราะกระเพาะของคนเลือดกรุ๊ปเอบีไม่ผลิตน้ำย่อยเพียงพอที่จะย่อยโปรตีนที่ มากเกินไป คนเลือดกรุ๊ปเอบี จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ จึงควรรับประทานผักสดมากๆ เพราะเป็นอาหารสำคัญในการป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งเกิดได้ง่ายในกรุ๊ปเอบี

            ส่วนเรื่องของผลไม้นั้น คนเลือดกรุ๊ปนี้จะสามารถรับประทานผลไม้ได้ดีเพียงบางอย่าง เช่น องุ่น พลัม และแบรี่ เพราะเป็นผลไม้ที่มีกรดเป็นกลาง ช่วยสร้างความสมดุลให้เนื้อเยื่อ อันเนื่องมาจากการบริโภคแป้งและข้าว

            เพราะกรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปมีความแตกต่างกัน จึงต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรังบางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ อาหารประเภทใดก็ตามควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ อาหารทุกอย่างมักจะมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเองเลือกใช้ให้ถูกวิธี เพราะสุขภาพที่ดีมาจากการเอาใจใส่ร่างกาย การใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้องและเหมาะสม ก่อนจะรับประทานอะไรเข้าไปให้จดจำไว้เสมอว่า "กินอะไรก็ได้อย่างนั้น" หรือ"You are what you eat" เป็นการเตือนใจก่อนจะตามใจปากจนสายเกินแก้


วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประเทศใหม่ล่าสุดของโลก







montenegro-world's newest countryประเทศใหม่ล่าสุดของโลกกำลังจะเกิดขึ้นมีชื่อว่า มอนเทเนโกร
อยู่ในยุโรปเป็นอีกประเทศนึง ที่แตกมาจากอดีตประเทศที่เรียกว่ายูโกสลาเวีย
ก่อนที่จะมีการลงประชามติเมือ่ไม่กี่วันนี้มอนเทเนโกรยังเป็นรัฐรัฐหนึ่งของประเทศ Serbia & Montenegro
ผลการลงมติของประชาชนในรัฐออกมาเป็นไปอย่างฉิวเฉียดให้แยกตัวออกมาเป็นประเทศอิสระ
ประเทศ มอนเทรเนโกจะเป็นประเทศเล็กมีประชากรแค่ประมาณ 650,000 คน
(ไม่ถึง 1ใน10 ของจำนวนประชากรจริงของ กทม) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา
ชื่อในสมัยโบราณของมอนเทเนโกรคือ Crna Gora ซึ่งแปลว่า "black mountain"
พื้นที่ประเทศทั้งหมดแค่ 13,812 ตางรางกิโลเมตร (ประเทศไทย5 แสนกว่า)
Serbia & Montenegro เป็น หนึ่ง32 ทีมที่ได้เข้ารอบสุดท้ายไปเตะใน World Cup 2006

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์  คม ชัด  ลึก (16  ตุลาคม  2553)

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ภัยของการเสพติดเนื้อสัตว์

 ภัยของการเสพติดเนื้อสัตว์ หรือการกินเนื้อสัตว์มากจนเกินไป เป็นอันตรายต่อสุขภาพแบบที่คุณคิดไม่ถึง!!!

     ในเนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย ทว่ากินเกินความจำเป็น โปรตีนส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน พอกพูนตามร่างกายจนกลายเป็นคนอ้วน ที่สำคัญการที่ร่างกายมีโปรตีนมากไป ตับและไตต้องทำงานหนักจนอวัยวะดังกล่าวเกิดความเครียด ส่งสัญญาณที่สังเกตได้ คือ เหนื่อยล้า ขาดความสดชื่น เนื่องจากตับจะสร้างเกลือแอมโมเนียก่อนจะเปลี่ยนเป็นยูเรีย ส่งให้ไตขับออกมาเป็นปัสสาวะ บ่อยครั้งเข้าร่างกายอาจขาดน้ำ

     การกำจัดโปรตีนส่วนเกินในขั้นตอนของไต หากยิ่งทำงานหนัก การขับปัสสาวะนั้นจะทำให้แคลเซียมซึมออกมาเจือปนกับปัสสาวะและเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคกระดูกพรุน

     นอกจากนี้ ในเนื้อสัตว์ยังมีฟอสฟอรัส มีผลกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ ให้หลั่งฮอร์โมนละลายแคลเซียมให้ล่องลอยในกระแสเลือด ก่อนไปจับตัวตามข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อสันหลัง อันเป็นที่มาของโรคข้อกระดูกเสื่อม

     อาหารการกิน หากเน้นแต่เนื้อสัตว์ WHO หรือองค์การอนามัยโลก บอกว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงป่วยด้วยโรคหัวใจและมะเร็ง ทั้งทำให้อายุสั้น สอดคล้องกับลักษณะการกินของชาวเอสกิโม ที่เน้นกินเนื้อกับไขมัน ร่างกายเสื่อมโทรม แก่เร็ว อายุไขเฉลี่ยอยู่ที่ 27 ปี ขณะที่ผู้คนที่อายุในแถบเขา ไม่ได้กินเนื้อสัตว์บ่อย ๆ เน้นกินพืชผัก กลับมีอายุยืน อยู่ได้นานถึง 110 ปี

     สิ่งที่หลายคนควรรู้ คือ คนเราเกิดมามีเซลล์อยู่ทั่วร่างกาย 50 ล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์สามารถแบ่งตัวได้ 50 ครั้ง ครั้งหนึ่งมีอายุ 2 ปี เพราะฉะนั้นอายุขัยของคนเราสามารถอยู่ได้ถึง 100 ปี แต่ทุกวันนี้ พฤติกรรมการกิน การอยู่ที่ไม่เหมาะสม ทำลายเซลล์นั่นล่ะ เป็นการทำให้อายุสั้นลงเรื่อย ๆ.
ขอขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/

takecareDD@gmail.com

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการกินเจ

ประโยชน์ของการกินเจ

เทศกาล กินเจ เริ่มกันตั้งแต่วันขึ้นหนึ่งค่ำ ไปจบเอาที่ขึ้นเก้าค่ำในเดือนเก้า ตามปฏิทินจีนของทุกปี ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม เป็นเพราะเดือนเก้าอย่างนี้แหละครับ ทำให้เขาเรียกว่า “เก้าโหว่ยเจ” หมายถึง เทศกาล กินเจเดือนเก้า
การ กินเจ เริ่มต้นในเมืองจีน แต่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น คงประมาณช่วงเวลาได้ค่อนข้างยาก เพราะประเทศจีน มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับได้หลายพันปี ตำนานการกำเนิดการกินเจมีอยู่หลายตำนานไม่รู้จะเชื่อตำนานไหนดี เอาเป็นว่าเกิดมานานมากไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็แล้วกัน
อาหารเจการ กินเจ หมายถึง การไม่กินเนื้อสัตว์รวมทั้งพืชอีกบางชนิดนั้น คนจีนเขาปฏิบัติกันมานานมากแล้ว แต่ เทศกาล กินเจ ที่เริ่มต้นกันในเดือนเก้านั้น น่าจะเกิดเมื่อประมาณ 380 ปีนี่เอง ตรงกับยุคกลางของอยุธยานั่นแหละครับ ตำนานที่พอเชื่อถือได้ กล่าวว่าคนจีนเริ่มยึดถือการ กินเจ เป็นประเพณี และกลายเป็นเทศกาล ก็เพื่อรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินจีนในครั้งนั้น
ช่วงปี พ.ศ. 2163-2183 กองทัพแมนจูเคลื่อนพล มาจากดินแดนแมนจูเรีย เข้ารุกรานประเทศจีน กองทัพจีนประสบความพ่ายแพ้ ก็มีนักรบชาวบ้านหงี่หั่วท้วงนี่แหละ ที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างห้าวหาญ และระหว่างการทำศึก นักรบหงี่หั่วท้วงได้ประกอบพิธีกรรมปลุกอาหารเจเสกตัวเอง เพื่อให้ทนปืนไฟโดยการนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่กลิ่นฉุน ท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของคนจีน
แม้จะปลุกเสกกันคร่ำเคร่งอย่างไรก็สู้อำนาจปืนฝรั่ง ของแมนจูไม่ได้ นักรบชาวบ้านกลุ่มนี้เสียชีวิตในการรบมากมาย ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู จีนตกเป็นเมืองขึ้นของแมนจู ครั้งนั้นชายชาวจีนถูกบังคับให้โกนหัวด้านหน้าและไว้เปียยาว อย่างชาวแมนจู ทำให้คนจีนคับแค้นกันมาก เหตุนี้เอง ที่ทำให้ชาวจีนรำลึกถึงกลุ่มนับรบหงี่หั่วท้วง ถือว่านักรบเหล่านี้มีบุญคุณเพราะพลีชีพเพื่อปกป้องชาติ
ขึ้น 1-9 ค่ำเดือน 9 ของทุกปี คนจีนจึงยึดถือ การ กินเจ เป็นประเพณีมานับแต่นั้น เป็นการรำลึกถึงความเป็นชาติจีน ที่ถูกแมนจูในราชวงศ์ชิงปกครองอย่างยาวนาน จะเรียกว่า เทศกาล กินเจ เปรียบประดุจการถือธรรมเนียมบุญคุณต้องทดแทน ซึ่งเป็นความหมายที่ดี ก็น่าจะได้

เจ หรือ ไจ แปลว่าไม่มีของคาว หรือหมายถึง ไม่มีเนื้อสัตว์รวมทั้งพืชบางชนิดที่เชื่อกันว่าเกิดมาจากสัตว์ เขาจะเขียนคำว่าไจเป็นอักษรสีแดงบนธงสีเหลือง สีแดง หมายถึง ความเป็นสิริมงคล ส่วนสีเหลือง หมายถึง คุณความดี หรือจะหมายถึงผู้ทรงศีลก็ได้ ธงเจจึงมีความหมายค่อนข้างดี ในช่วงเทศกาล กินเจ พวกเราจึงเห็นธงเจลักษณะนี้ติดกันเต็มพรืดไปหมด 

อาหารเจ
ช่วง เทศกาล กินเจ นั้น เขาห้ามการบริโภคเนื้อสัตว์ทั้งปวง รวมทั้งปลา นมและไข่ มีบ้างบางคนจะเน้นการงดหอยนางรมเป็นพิเศษ ซึ่งก็น่าจะละเว้นอยู่แล้ว เรื่องหอยนางรมนี้ผู้เขียนไม่ทราบตำนาน ว่าเป็นมาอย่างไร เห็นทีจะต้องถามเอาจากผู้อ่านบ้างแล้วละครับ
นอกจากจะห้ามเนื้อสัตว์ การ กินเจ ยังห้ามผักที่มีกลิ่นฉุนบางชนิด โดยถือว่าเป็นของคาว ได้แก่ หอม กระเทียม หลักเกียว (ผักคล้ายกระเทียมขนาดเล็ก) กุยช่าย (ผักไม้กวาด) ผักชี เครื่องเทศที่เผ็ดร้อน ใบยาสูบ โดยเชื่อว่าผักเหล่านี้ เป็นของคาวที่เพิ่มความกำหนัด บางคนเขาเชื่อว่า พืชผักกลุ่มนี้เกิดมาจากเลือดของสัตว์ ซึ่งก็เป็นอีกตำนานหนึ่ง จากหลายๆ ตำนานของจีน การเป็นประเทศเก่าแก่ ก็ต้องมีตำนานหลายตำนานอย่างนี้แหละ
ในบรรดาพืชผักต้องห้ามเหล่านี้ เขาถือกันว่า กระเทียมทำลายธาตุไฟทำให้เกิดปัญหากับหัวใจ หัวหอมทำลายธาตุน้ำก่อปัญหากับไต อาหารเจกุยช่ายทำลายธาตุไม้ สร้างปัญหาให้ตับ หลักเกียวทำลายธาตุดิน สร้างปัญหาให้กับม้าม และใบยาสูบทำลายธาตุโลหะ สร้างปัญหาให้กับปอด
ประโยชน์จากการ กินเจ มีค่อนข้างมาก อย่างเช่น ได้ทำบุญเมื่อไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ การทำจิตใจบริสุทธิ์แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตามที นอกจากนี้ ยังได้ประโยชน์ตรง จากการลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ ได้สารต้านออกซิเดชั่น สารพฤกษเคมีจากพืชผัก ช่วยลดปัญหาโรคหัวใจ เบาหวาน เก๊าท์ และอีกสารพัดโรค การ กินเจ ยาวนานกันเพียง 9-10 วัน ไม่สร้างปัญหาในเรื่องขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งหรอกครับ มีบางคนด้วยซ้ำเมื่อพ้น เทศกาล กินเจ มาแล้วกลับกินมากขึ้น เพราะอดมาหลายวัน และตนเองยังไม่ชินกับการอด
ใครที่เห็นประโยชน์จากการ กินเจ แล้ว อยากจะต่อด้วยอาหารมังสวิรัติก็ไม่มีอะไรจะต้องห้าม ทั้งยังจะขอสนับสนุนอีกด้วย แต่ต้องกินอาหารให้หลากหลาย เสริมถั่ว เสริมงา เสริมพืชผักที่ให้แคลเซียม อย่างโกฏน้ำเต้า มะเดื่อ ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียวเข้ม
กินเจ กินมังสวิรัติให้ถูกวิธีทางโภชนาการ ย่อมไม่มีวันขาดสารอาหารหรอกครับ เรื่องนี้ไม่มีอะไรจะต้องห่วง

ขอขอบคุณบทความจาก
ดร.วินัย ดะห์ลัน  

ตำนานการกินเจ

ประเพณีการกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ดังนี้
       
       ตำนานที่ 1
      
       ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณให้เกิดความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ
      
       ตำนานที่ 2
      
       เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว
      
       ตำนานที่ 3
      
       ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชัวเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วน-เนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
      
       ตำนานที่ 4
      
       กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้อง ซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้น ด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้น เพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง
      
       ตำนานที่ 5
      
       1,500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
      
       จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติ จึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
      
       คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่าย ว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตาม ภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
      
       เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)
      
       ตำนานที่ 6
      
       ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียง ถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
      
       ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูก จึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์ จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อ เล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้ เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์ เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
      
       เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับ เขาได้แยกทางกับหญิงสาว และได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่า เป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย แล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
      
       หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น
      
       ตำนานที่ 7
      
       พิธีการถือศีลกินผักที่ภูเก็ต (ปี 2553 ประเพณีกินเจที่ภูเก็ต จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-16 ต.ค.) จังหวัดภูเก็ตไม่มีประเพณีกินเจเหมือนที่อื่น แต่จะเรียกว่าประเพณีถือศีลกินผักตามภาษาถิ่นฮกเกี้ยนที่ว่าเจี๊ยะฉ่าย ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อประมาณ 180 ปีก่อน มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินผักและสร้างศาลเจ้าขึ้น เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินผักที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินผักในปัจจุบัน
      
       (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข่าวด่วน! เกี่ยวกับฟอนต์ตัวหนังสือ

ด่วน! สั่งทุกส่วนราชการโละฟอนต์ต่างชาติ บังคับใช้ฟอนต์ไทยแลนด์ อ้างป้องกันละเมิดลิขสิทธิ์ อึ้งผลงานไอซีที มีให้เลือก13 ฟอนต์ไพเราะ อาทิ ฟอนต์สารบรรณ ฟอนต์จามรมาน ฟอนต์นิรมิต ฟอนต์คชสาร .....

นายวัชระ กรรณิการ์  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า  ครม.เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยดำเนินการติดตั้งฟอนต์สารบรรณและฟอนต์อื่น ๆ     ทั้งหมด จำนวน 13 ฟอนต์ ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)  (สอซช.) หรือ “Software Industry Promotion Agency”  เรียกโดยย่อว่า “SIPA” และกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มเข้าไปในระบบ ปฏิบัติการ Thai OS (Thai Operating System)  และใช้ฟอนท์ดังกล่าวแทนฟอนต์เดิม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
          สาระสำคัญของเรื่อง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ทก.) รายงานว่า
          1. ปัจจุบันส่วนราชการจำนวนมากมีการใช้ฟอนต์ที่หลากหลายไม่มีมาตรฐานในเอกสารทางราชการ อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการหลายแห่งใช้มาตรฐานฟอนต์ของบริษัทเอกชนที่ผูกขาดลิขสิทธิ์ของระบบปฏิบัติงานทำให้จำกัดสิทธิ์ต่างๆ  ที่จะมีมาตรฐานเอกสารเป็นเสรี ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการใด ๆ  เช่นAngsanaอาจมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้
          2. ทก.โดย สอซช. จึงได้มีการพัฒนาและมีการประกวดแข่งขันฟอนต์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ Open Source  Software  ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีให้ส่วนราชการไทยประกาศมาตรฐานเอกสารดิจิทัล และรูปแบบของฟอนต์ที่ๆไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการและลิขสิทธิ์ของบริษัทใด ๆ   เพื่อ ความภาคภูมิใจในความเป็นชาติและเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ซึ่งในขณะนี้มีฟอนต์ที่ส่วนราชการไทยสามารถเป็นเจ้าของและพร้อมแจกจ่ายให้ กับผู้ประสงค์จะใช้งานรวม 13 ฟอนต์  ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ สอซช. และกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อแจกจ่ายให้ใช้อย่างเสรีปราศจากปัญหาด้านลิขสิทธิ์
          3. เพื่อให้เอกสารต่างๆ  ของ ภาครัฐ เป็นไปอย่างมีมาตรฐานปราศจากปัญหาลิขสิทธิ์และไม่ได้ขึ้นกับระบบปฏิบัติการ ระบบใดระบบหนึ่งและเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 ทก. จึงเห็นควรให้หน่วยงานราชการปฏิบัติดังนี้  
3.1 ดำเนินการติดตั้งฟอนต์สารบรรณและฟอนต์อื่น ๆ  ทั้งหมดจำนวน 13 ฟอนต์  ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)   และกรมทรัพย์สินทางปัญญา  เพิ่มเข้าไปในระบบปฏิบัติการ Thai OS  และใช้ฟอนต์ดังกล่าวแทนฟอนต์เดิม  และให้ถือเป็นมาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย
3.2 ให้ติดตั้งและใช้งานให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2553 และให้รายงาน ทก. เมื่อได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยมีชื่อที่สงวนไว้สำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์นี้ 
3.2.1 TH Sarabun PSK, TH Sarabun PSK Italic, TH Sarabun PSK Bold, TH Sarabun PSK Bold Italic
3.2.2 TH Chamornman, TH Chamornman Italic, TH Chamornman Bold,TH Chamornman Bold Italic
3.2.3 TH Krub, TH Krub Italic, TH Krub Bold, TH Krub Bold Italic
3.2.4  TH Srisakdi, TH Srisakdi Italic, TH Srisakdi Bold, TH Srisakdi Italic  Bold Italic
3.2.5 TH Niramit AS , TH Niramit AS Italic , TH Niramit AS Bold , TH Niramit AS Bold Italic
3.2.6 TH Charm of AU , TH Charm of AU  Italic, TH Charm of AU Bold, TH Charm of AU Bold Italic
3.2.7 TH Kodchasal, TH Kodchasal  Italic, TH Kodchasal  Bold, TH Kodchasal  Bold Italic
3.2.8  TH K2D July8, TH K2D July8 Italic, TH K2D July8 Bold, TH K2D July8 Bold Italic
3.2.9 TH Mali Grade 6, TH Mali Grade 6 Italic, TH Mali Grade 6 Bold, TH Mali Grade 6 Bold Italic
3.2.10 TH Chakra Petch, TH Chakra Petch Italic, TH Chakra Petch Bold,TH Chakra Petch Bold Italic
3.2.11  TH Baijam, TH Baijam Italic, TH Baijam Bold, TH Baijam Bold Italic
3.2.12  TH KoHo, TH KoHo Italic, TH KoHo Bold, TH KoHo  Bold Italic
3.2.13  TH Fah Kwang, TH Fah Kwang Italic, TH Fah Kwang Bold, TH Fah Kwang Bold Italic
ที่มา : http://www.posttoday.com/ข่าว/การเมือง/48549/สั่งราชการโละฟอนต์ต่างชาติบังคับใช้ฟอนต์ไทยแลนด์

บทบาทคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง


คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
คำว่า เครือข่าย” (Network) หมายความว่า การเข้ามามีบทบาทในฐานะการสร้างความร่วมมือ แนวร่วม และหรือ การมีส่วนร่วม เพื่อที่จะให้เกิดกลไกความร่วมมือในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและสถานศึกษา

วัตถุประสงค์ของคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
1.      เพื่อการดำเนินงานสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้านและสถานศึกษา
2.      เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียน
3.      ให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดระหว่างผู้ปกครอง ครู และนักเรียนในสถานศึกษา
4.      เป็นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นความรู้เป็นประสบการณ์ให้สามารถช่วยเหลือตนองได้ ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี และละเว้นอบายมุขทั้งปวง กับเพื่อส่งเสริมความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
5.      เพื่อให้มีการติดต่อสื่อสารกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
คุณสมบัติของกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
1.      ประกอบอาชีพสุจริต มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอน
2.      บรรลุนิติภาวะ และมีสถานภาพเป็นผู้ปกครองนักเรียนในปัจจุบันในสถานศึกษาโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
3.      ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคที่สังคมรังเกียจ
การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
1.      ตาย
2.      ลาออก
3.      ขาดคุณสมบัติที่มีสถานภาพเป็นผู้ปกครองนักเรียนในปัจจุบันในสถานศึกษาโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
วาระการดำรงตำแหน่ง
        มีวาระ 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคัดเลือก สิ้นสุดลงในวันที่คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองชุดใหม่ได้รับการคัดเลือก
บทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
1.      ร่วมสนับสนุนกิจกรรมของสถานศึกษา โดยผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารสถานศึกษา
2.      ร่วมสร้างสายใยเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่าง ครูและผู้ปกครอง
3.      สนับสนุนการพัฒนาการเรียนการสอนของสถานศึกษา
4.      ให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะต่อสถานศึกษาในเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียนและสถานศึกษา
5.      จัดการประชุมคณะกรรมการและผู้ปกครองในห้องเรียนตามความเหมาะสม อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
6.      จัดทำทำเนียบนักเรียนและผู้ปกครองโดยละเอียด และส่งมอบสำเนาให้เลขานุการกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองในระดับชั้นเรียนและระดับโรงเรียน
7.      กรรมการเครือข่ายผู้ปกครองในระดับโรงเรียน จะต้องรวบรวมข้อมูลและกิจกรรมของแต่ละระดับ นำเสนอโรงเรียนเพื่อดำเนินการต่อไป
8.      ให้คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองระดับโรงเรียนจัดการประชุมใหญ่ คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองทุกระดับ ตามความเหมาะสม อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
องค์ประกอบและการคัดเลือกของคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง
ระดับห้องเรียน    คือผู้ปกครองที่อาสาสมัครหรือได้รับคัดเลือกในแต่ละห้องเรียน จำนวน 5 คน แล้วผู้ปกครองทั้ง 5 คนดังกล่าว มาคัดเลือกกันเองเพื่อดำรงตำแหน่ง ประกอบด้วย
1.      ประธาน
2.      รองประธาน
3.      เลขานุการ
4.      ปฏิคม
5.      ประชาสัมพันธ์
ระดับชั้นเรียน  คือประธานและเลขานุการของแต่ละห้องเรียน จำนวนตามห้องเรียน ห้องละ 2 คนมาคัดเลือกกันเองเพื่อดำรงตำแหน่ง ประกอบด้วย
1.      ประธาน (คัดเลือกจากประธานระดับห้องเรียน)
2.      รองประธาน
3.      เลขานุการ (คัดเลือกจากเลขานุการระดับห้องเรียน)
4.      ปฏิคม
5.      ประชาสัมพันธ์
6.      กรรมการ
ระดับโรงเรียน  คือประธานและเลขานุการของแต่ละระดับชั้น รวม 2 คน มี 9 ระดับชั้น รวมเป็น 18  คนเป็นผู้แทนของเครือข่ายผู้ปกครองระดับโรงเรียน  โดยผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานและรองประธานระดับโรงเรียน มาจากการคัดเลือกผู้เป็นประธานระดับชั้นเรียน ซึ่งมีอยู่ 6 คน ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ คัดเลือกตามความเหมาะสม ประกอบด้วย
1.      ประธาน
2.      รองประธาน คนที่ 1
3.      รองประธาน คนที่ 2
4.      เลขานุการ
5.      ผู้ช่วยเลขานุการ
6.      ประชาสัมพันธ์
7.      ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์
8.      นายทะเบียน
9.      ปฏิคม
10.  กรรมการกลาง 4 คน
                เมื่อประธานระดับชั้นใด ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานระดับโรงเรียน ให้คณะกรรมการระดับชั้นนั้นคัดเลือกประธานระดับชั้นเรียนของตน (ที่เป็นประธานระดับห้องเรียน) ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อให้ครบจำนวน 18 คน

บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน



คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
---------------------------
องค์ประกอบของคณะกรรมการสถานศึกษา
          ในสถานศึกษาขนาดเล็ก ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาจำนวน 9 คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษา จำนวน 15 คน ประกอบด้วย
1. ประธานกรรมการ
2. กรรมการที่เป็นผู้แทนผู้ปกครอง  จำนวน  1  คน
3.  กรรมการที่เป็นผู้แทนครู              จำนวน  1  คน
4.  กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรชุมชน      จำนวน 1 คน
5.  กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น     จำนวน  1  คน
6.  กรรมการที่เป็นผู้แทนศิษย์เก่า              จำนวน  1 คน
7.  กรรมการที่เป็นผู้แทนพระภิกษุสงฆ์ หรือผู้แทนองค์กรศาสนาในพื้นที่  จำนวนหนึ่งรูป หรือหนึ่งคน สำหรับสถานศึกษาขนาดเล็ก และจำนวน สองรูป หรือสองคน สำหรับสถานศึกษาขนาดใหญ่
8.  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่งคนสำหรับสถานศึกษาขนาดเล็ก และจำนวนหกคนสำหรับสถานศึกษาขนาดใหญ่
9.  ผู้อำนวยการ เป็นกรรมการและเลขานุการ

คุณสมบัติของคณะกรรมการการสถานศึกษาและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้
1.  มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2.ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
3.ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
4.ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
5.ไม่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษานั้น ประธานกรรมการและกรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี และอาจได้รับการแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้

     นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ ประธานกรรมการและกรรมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
  1.  ตาย
  2.  ลาออก
  3.  คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาให้ออกเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ ทำให้เสื่อมเสียต่อสถานศึกษาหรือหย่อนความสามารถ
  4.  ขาดคุณสมบัติตามข้อ 3หรือ4   พ้นจากการเป็นภิกษุ เฉพาะกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนพระภิกษุสงฆ์
          ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการ พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ดำเนินการ   สรรหา เลือก และแต่งตั้งประธานกรรมการหรือกรรมการแทนภายใน    90 วัน  เว้นแต่วาระของกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึง 180 วัน จะไม่ดำเนินการก็ได  ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งแทนตน      
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
              ตามมาตรา  38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546  รวมทั้งอำนาจหน้าที่การบริหารงานบุคคลที่จะเกิดตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 

อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
1. กำกับการดำเนินการของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับกฏหมาย  กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง และนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น
2. ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการกิจการด้านต่างๆของสถานศึกษา
3.  มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษา ตามที่กฎหมายว่าด้วย ระเบียบข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษากำหนด
4.  ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมาย  ระเบียบ ประกาศ ฯลฯ กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

------------------------------------------
บทบาทกรรมการสถานศึกษา 
              คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นรูปแบบการบริหารจัดการศึกษา ที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้มีทุกโรงเรียน โดยให้มีจำนวนแตกต่างกันไปตามขนาดที่นับจากจำนวนนักเรียนในโรงเรียนนั้น และกำหนดให้มีการประชุมอย่างน้อยภาคเรียนละ 2 ครั้ง เพื่อกำกับและส่งเสริมกิจกรรมของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพ คณะกรรมการสถานศึกษามีบทบาทหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2543 ดังนี้..
หน้าที่ข้อ 1 กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาของสถานศึกษา มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. ศึกษาและทำความเข้าใจในความมุ่งหมายหลักการของหารจัดการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
          2. ศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของชุมชน/ท้องถิ่น ที่ตั้งของสถานศึกษา
          4. กำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษา ด้านวิชาการบุคลากร งบประมาณ อาคารสถานที่ กิจกรรม 3. กำหนดนโยบาย เป้า หมาย และทิศทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
          5. กำหนดให้สถานศึกษา จัดทำธรรมนูญโรงเรียน
หน้าที่ ข้อ 2 ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา
          2. พิจารณาความสอดคล้องของแผนปฏิบัติการประจำปี กับแผนพัฒนาของสถานศึกษา
          3. พิจารณาถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมเกี่ยวกับวิธีการหรือ ยุทธศาสตร์การดำเนินงานของกิจกรรม งาน/โครงงานที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา
          4. ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา
หน้าที่ ข้อ 3 ให้ความเห็นชอบในการจัดทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. ศึกษาหลักการ จุดหมาย โครงสร้างของหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน
          2. พิจารณาความสอดคล้องของสาระการเรียนรู้กับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
          3. พิจารณาความถูกต้องความสมบูรณ์ของสาระการเรียนรู้และความสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น
          4. ให้ความเห็นชอบในการจัดทำสาระการเรียนรู้ของสถานศึกษา
หน้าที่ ข้อ 4 กำกับและติดตามการดำเนินงานตามแผนของสถานศึกษา มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. กำหนดแผนการกำกับและติดตามร่วมกับสถานศึกษา ได้แก่ วิธีการ ระยะเวลา
          2. ดำเนินการกำกับติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแผนที่กำหนดไว้ โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย
          3. ให้ข้อมูลป้อนกลับแก่สถานศึกษาและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและขวัญกำลังใจในการดำเนินงานของสถานศึกษาให้เป็นไปตามแผนและมีวิธีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
หน้าที่ ข้อ 5 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนในเขตบริการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและได้มาตรฐาน มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. สถานศึกษาจัดทำข้อมูล สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับจำนวนผู้เรียนการคมนาคม สภาพทางเศรษฐกิจ
          2. สนับสนุนและจัดหาที่เรียนให้แก่เด็กในพื้นที่บริการได้เข้าเรียนในสถานศึกษาให้มากที่สุด
          3. จัดหาทุนการศึกษาอุปกรณ์การศึกษาและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ แก่ผู้เรียนที่ขาดแคลน
หน้าที่ ข้อ 6 พิทักษ์สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ให้ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. สนับสนุนให้เด็กพิการ ได้มีการเรียนร่วมกับเด็กปกติ
          2. สอดส่อง ดูแลเด็กที่ได้รับการทารุณ กดขี่ ข่มเหง ล่วงละเมิดทางเพศ ใช้แรงงานเด็ก กักขัง ฯลฯ ให้ได้รับความช่วยเหลือและส่งไปขอรับบริการที่เหมาะสม
          3. สอดส่อง ดูแลเด็กที่มีความบกพร่อง ทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้หรือมีร่างกายที่พิการ หรือทุพพลภาพหรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง
          4. ส่งเสริม สนับสนุน ให้สถานศึกษาให้แก่เด็กที่มีความสามาถพิเศษให้ได้รับการพัฒนาเป็นรายบุคคลให้มากที่สุด
          5. สนับสนุน ส่งเสริมการทำงานร่วมกับ องค์กรการพิทักษ์สิทธิเด็ก
หน้าที่ ข้อ 7 เสนอแนะและมีส่วนร่วมในการบริหารด้านวิชาการด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานทั่วไปของสถานศึกษา มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
การบริหารจัดการด้านวิชาการ
          1. มีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานวิชาการของศึกษา
          2. มีส่วนร่วมในการจัดหาผลิตสื่อเพื่อพัฒนาการเรียน
การบริหารจัดการด้านงบประมาณ
          1. มีส่วนร่วมในการกำหนดวิธีการบริหารใช้งบประมาณของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ
          2. มีส่วนร่วมในการกำหนดวิธีการตรวจสอบติดตามและประเมินผล
การบริหารจัดการด้านการบริหารงานบุคคล
          1. มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนพัฒนาครูและบุคลากรอื่นในสถานศึกษาและส่งเสริมให้มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
          2. ให้ขวัญกำลังใจและยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ครูและบุคลากรอื่นในสถานศึกษา
หน้าที่ข้อ 8 ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวิชาวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน รวมทั้งสื่อสารจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
         1. หารายได้ทรัพย์สินและทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ เพื่อสนับสนุนจัดการเรียนการสอน
          2. ส่งเสริมและกำกับติดตามการใช้วิทยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น
          3. ส่งเสริมและกำกับติดตามเพื่อให้สถานศึกษากิจกรรมที่ศึกษาจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ พร้อมทั้งการยกย่องเชิดชูเกียรติภูมิปัญญาท้องถิ่นตามความเหมาะสมและโอกาสอันสมควร
หน้าที่ข้อที่9 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยากรของชุมชนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาร่วมกับชุมชน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
          2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการและให้บริการด้านต่างๆ แก่ชุมชน
หน้าที่ข้อ 10 ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของสถานศึกษา ก่อนเสนอต่อสาธารณชน มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          1. ให้สถานศึกษาจัดทำรายงานผลการดำเนินงานประจำปี
          2. เสนอแนะในการปรับปรุงรายงานผลการดำเนินงานประจำปี
          3. ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของสถานศึกษาก่อนเผยแพร่ของสาธารณชน

หน้าที่ ข้อ 11 แต่งตั้งที่ปรึกษาและหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อการดำเนินงานตามระเบียบนี้ ตามที่เห็นสมควร มีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
          ประธานกรรมการสถานศึกษาแต่งตั้งที่ปรึกษาและหรือคณะอนุกรรมการตามความเหมาะสมและความจำเป็นในแต่ละกรณี

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดในการดำเนินชีวิต

ขออัญเชิญ
36 แผนที่ชีวิตของพ่อ....
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวโรกาส เทิดพระเกียรติองค์ราชัน เถลิงถวัลย์สิริราช 60 ปี
  1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
  2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจากปัญญา และความกล้าหาญ
  3. เพื่อนใหม่คือ ของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า / มิตรคือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
  4. อ่านหนังสือธรรมะปีละเล่ม
  5. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
  6. พูดคำว่าขอบคุณให้มากๆ
  7. รักษาความลับให้เป็น
  8. ประเมินคุณค่าของการให้อภัยให้สูง
  9. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
  10. ยอมรับความผิดพลาดของตนเองหากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่าเป็นจริง
  11. หากล้มลงจงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
  12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
  13. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
  14. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
  15. อย่าหยิ่งหากจะกล่าวขอโทษ
  16. อย่าอายหากจะบอกใครว่าไม่รู้
  17. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
  18. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  19. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
  20. คนไม่รักเงินคือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
  21. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
  22. ชีวิตนี้ ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
  23. จงอย่าให้จุดแข็ง เอาชนะจุดอ่อน
  24. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ไช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
  25. เหรียญเดียวมีสองหน้า ความสำเร็จกับความล้มเหลว
  26. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้น ล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
  27. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
  28. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
  29. ระลึกถึงความตายวันละสามครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
  30. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
  31. ทุกชิ้นงานจะต้องมีกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
  32. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
  33. ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปีน บันไดสูง
  34. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
  35. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
  36. ระเบียบวินัยคือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต